เราปกติเดินทางประมาณเดือนละครั้ง ก็อย่างที่เห็นที่ลงพันทิปนะคะ การต้องอยู่บ้านนานเกินสามอาทิตย์เป็นเรื่องที่ผิดปกติมากสำหรับเราในช่วงหกปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเดินทางคนเดียวหรือจะไปกันสองคนตามแบบฉบับ (https://atomic-temporary-132955911.wpcomstaging.com) ยังไงก็ต้องมีไปตลอด
London in the Time of Covid
ลอนดอน เมืองที่เราใช้เป็นฐานมากกว่าบ้าน เราย้ายมาอังกฤษตั้งแต่ปี 2014 กลับไทยปีละครั้งถึงสองครั้งแต่ละครั้งก็ไม่เกินเดือน เลือกมาอยู่ที่นี่เพราะบินไปไหนมาไหนง่าย สะดวกกับการไปทุกทวีป มีบินตรงแล้วก็ตั๋วเครื่องบินถูก เอาจริงๆถ้าไม่มี Covid ก็ไม่คิดจะย้ายกลับไทยเลยนะ แต่ตอนเนี่ยคิดแหละ เพราะมันโหดต่อใจนักเดินทางมากเลย การที่ต้องอยู่บ้านเป็นเวลาหลายเดือน ถึงตอนนี้ก็เกือบหนึ่งปีแล้วค่ะ ที่อังกฤษไม่เหมือนที่ไทยด้วย โดนล็อคดาวน์ยาวเลย พอปลดได้ไม่กี่เดือนก็ล็อคใหม่ สรุปตอนนี้เจอล็อคมาสามรอบแล้วค่ะ
ข้อดี
ถึงโควิดจะมีข้อเสียเยอะ แต่มันก็มีข้อดีของมันนะ เช่นทำให้เราใช้ค่าบ้านคุ้มมาก ทำอาหารทุกมื้อ จากคนที่ต้องออกไปกินร้านใหม่ตลอด ก็ healthy ขึ้น น้ำหนักลงด้วยค่ะ เพราะจากสาวเจ้าสังคมออกกินเที่ยวตลอด ก็แทบไม่ได้ดื่มเลย การที่ต้องเรียนออนไลน์ ก็ลำบากอยู่นะ แต่ล็อคดาวน์ไปไหนไม่ได้ก็เขียนงานได้เยอะ ปกติที่อังกฤษถ้ามาเป็นนักเรียนเราต้องจ่าย NHS surcharge ตอนทำวีซ่าอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นค่าหมอค่ารักษาพยาบาลทุกอย่างก็ไม่ต้องจ่าย ซึ่งก็เป็นข้อดีของที่นี่ ไม่ต้องกลัวว่าเราเป็นคนต่างชาติแล้วเค้าจะไม่รักษา หรือว่าเราปวดแล้วจะไม่มีเงินจ่าย ข้อดีน่าจะหมดแค่นี้
ข้อเสีย
พูดถึงข้อเสียกันดีกว่า นอกจากพวก basic ที่ทุกคนรู้และได้ผลกระทบเหมือนกันแล้ว ที่นี่ยังมีเรื่องของค่าใช้จ่าย ค่าของชีพที่สูงพอสมควร อยู่แบบไม่ได้ทำอะไร เที่ยวก็ไม่ได้เที่ยว ก็เปลืองเหมือนกันค่ะ คืออย่างที่บอกปกติเอาเงินไปใช้กับการเที่ยวเดินทางท่องโลก 100 กว่าประเทศ มีบ้านลอนดอนไว้เก็บของและแวะเจออาจารย์ แต่พอมาเจอ covid เข้าไป อยู่บ้านยาวทีสามเดือนค่ะ ค่าซุปเปอร์มาร์เก็ต เดือนละประมาณ 8000 บาท แล้วยังจะมีค่าอาหารเดลิเวอรี่ อาทิตย์ละครั้งสองครั้งเวลาไปเจอ support bubble (คนที่อยู่คนเดียวรัฐบาลอนุญาตให้ ไปเจอได้อีกหนึ่งบ้าน เขากันคนเป็นบ้าค่ะ) เบ็ดเสร็จค่าอาหารก็ไม่ได้ลดลง อาจจะมากกว่าตอนที่เดินทางได้ด้วยซ้ำ นอกจากค่าอาหารแล้ว ที่ไทยก็น่าจะเป็นเหมือนกันกับค่าน้ำค่าไฟที่เพิ่มขึ้นมาก แล้วพอเข้าหน้าหนาวก็มีค่า heating ด้วย
เราไม่ได้ขึ้นขนส่งสาธารณะตั้งแต่เริ่มล็อคดาวน์รอบแรก เราเช่ารถขับยาวเลยค่ะ อันนี้ก็เป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นมาก คนอาจจะงงว่าอ้าวแล้ว lockdown ไปไหนได้ล่ะ เราใช้รถแค่อาทิตย์ละสามวันก็ถูกกว่านั่ง Uber แล้วค่ะ เพราะที่นี่คนตอนแรกไม่ยอมใส่หน้ากาก คือเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะเอาตัวเองไปเสี่ยงกับการนั่ง tube/bus แล้วพอรัฐบังคับให้ใส่หน้ากาก บางคนก็ใส่ปิดแค่ปากไม่ปิดจมูก บางคนก็ไว้ที่คอ คนที่นี่เยอะมากที่ใช้ชีวิตปกติ ไม่ได้ระวังอะไรมากมาย ต่างคนต่างเอาตัวรอด แบบเอาที่สบายใจเลยค่ะ ซึ่งทำให้เคสที่นี่ติดเยอะมากและโรงพยาบาลไม่รับคนป่วยที่อาการไม่หนัก ซึ่งก็เป็นข้อเสียแหละ
นี่คิดว่าที่นี่เป็นแบบนี้ได้เพราะคนส่วนมากอยู่คนเดียวไม่งั้นก็อยู่เป็นครอบครัว แต่ไม่ได้อยู่กับผู้ใหญ่ ไม่ได้รู้สึกว่าจะเอาไปให้พ่อแม่ตัวเองติด แตกต่างกับที่ไทยมาก อารมณ์แบบใครกลัวก็อยู่บ้านไปสิ คนอื่นจะใช้ชีวิตปกติ ทำไมใช้ไม่ได้ล่ะ
Lockdown 1
ช่วงปิดประเทศรอบแรกคือตอนปลายเดือนมีนาปิดถึงกรกฎา ทั้งหมด 102 วัน ปิดแบบจริงจัง ร้านอาหารไม่เปิด ห้างปิด ถ้าเป็นไปได้ห้ามเดินทาง essential travel only ตอนนั้นคน panic มาก ซื้อของตุนกันใหญ่ แล้วก็เป็นล็อคดาวน์รอบเดียวที่คนยอมอยู่บ้านจริงๆ เรานี่เริ่มปลูกดอกไม้เลย สั่งออนไลน์มา เอาให้เต็มระเบียงเลยจ้า ทั้งกุหลาบ British roses, lavender, hydrangea จากคนไม่เคยปลูก ก็เลี้ยงรอดอยู่นะ ไม่น่าเชื่อ ตอนนั้นเป็นโชคดีของเราที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ตึกสร้างเสร็จใหม่ ทั้งตึกมีเราอยู่คนเดียว ไม่ต้องแชร์ lift กับใคร ส่วนหลังตึกก็เป็นของเรา แต่ส่วนมากเราก็ออกกำลังกายอยู่บนระเบียงเรานี่แหละ ตอนนั้นเข้าฤดูใบไม้ผลิอากาศดีมาก นั่งกินข้าวตรงระเบียงก็สบายดีเหมือนกัน สงสารก็แต่คนที่อยู่บ้านแบบไม่มีระเบียง หรือคนที่ต้องอยู่ด้วยกันหลายคน ช่วงนั้นมีคนฆ่าตัวตายเยอะขึ้นเยอะ แล้วก็โดนทำร้ายด้วย domestic violence เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งปัญหานี้ไม่ได้มีแค่ในอังกฤษ แต่ทั่วยุโรปที่โดนล็อคดาวน์กันยาว คิดดูสิที่ไทยโดนไปแป๊บเดียว ยังแย่ แล้วที่นี่รอบแรกก็โดนไปสามเดือน คนจิตตกขนาดไหน
เรื่องอาหารที่ ไทยโชคดีกว่าเยอะ ยังมีพี่ Grab ที่นี่ช่วงแรกแทบไม่มีอะไรเลย ร้านน้อยมากที่เปิดทำ delivery เอาจริงๆ กว่าร้านอาหารจะทำ delivery ก็ปิดไปเดือนได้แล้ว อยู่คนเดียวสั่งมากินก็ไม่คุ้ม เราก็เลยได้สั่งแค่เวลาไปเจอเพื่อน จำได้เลยว่าปิดไปเจ็ดอาทิตย์เพิ่งได้กิน Starbucks แก้วแรก
ร้านค้าเปิดกลางเดือนมิถุนาแล้วร้านอาหารเริ่มเปิดสี่กรกฎา
พอเปิดเมืองเราจำได้เลยว่าวันแรกคนออกมาเต็ม ไม่มี social distancing เลยค่ะ มันเป็นไปไม่ได้จริงๆ คนออกมากินอาหาร มา bar แล้วก็ออกมาดื่มกันตามถนน นี่ออกไปแบบกล้าๆ กลัวๆ ส่วนมากจะอยู่บ้านมีเพื่อนเป็นหนังสือ ซื้อมาเยอะมาก Amazon Prime คือเพื่อนสนิทเลยจ้า สั่งได้ทุกอย่างจริงๆ
ตอนนั้นอยากกลับไทยก็กลับไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ซักอย่างคือติดจริงๆค่ะ ที่ไทยบังคับกักตัว แต่ก็ไม่ให้เครื่องบินเข้า ส่งเครื่องมารับคนไทยกลับน้อยมาก มีที่ไหนเอาจริงๆแบบเนี่ย เค้ามีแต่ต้องเอาคนของตัวเองกับให้ได้เยอะที่สุดเร็วที่สุด ช่วงนั้นสายหัวกับเรื่องนี้หนักมาก เห็นเพื่อนเข้าแถวสถานทูต เพื่อที่จะขึ้น repatriation flight บางคนรอสองเดือน เที่ยวบินแต่ละเที่ยวราคาก็ไม่เท่ากัน ขายตั๋วเที่ยวเดียวราคาเหมือนซื้อไปกลับ โหดสุด เห็นหลายคน อยากกลับแต่กลับไม่ได้เพราะราคาแพง บางบ้านก็ส่งแต่เด็กกลับ นอกจากปัญหาเรื่องตั๋วเครื่องบินแล้ว ยังมีการต่อแถวหน้าสนามบินเพื่อทำเอกสารอีก น่ากลัวจะติด covid กันก็ตอนนั้น
Lockdown 2
พอปลดล็อคช่วงหน้าร้อนไปได้สี่เดือน พอเดือนพฤศจิกายน ใบไม้ร่วงเริ่มหนาวก็ได้ปิดประเทศใหม่ Covid19 ทำให้เห็นว่า common sense is not that common จริงๆนะ คือคนออกมาแบบไม่สนใจจริงๆ ยิ่งใกล้ช่วงเทศกาล ไม่ต้องคิดเลยว่าจะยอมอยู่บ้าน แค่พอรัฐประกาศว่าจะปิดแค่นั้นแหละ สามวันก่อนปิดเมือง คนออกมาแบบมหาศาล รถติดแบบเข้าเมืองไม่ได้ เปิด Google Maps มาคือแดงทั้งเมือง
ปิดประเทศรอบนี้รัฐบาลหวังว่า จะทำให้เคสน้อยลงมากพอที่คนจะกลับบ้านไปฉลองเทศกาลคริสต์มาสได้ เค้าเลือกที่จะปิดแค่หนึ่งเดือนและเปิดต้นเดือนธันวาคม นี่ว่าพลาดก็ตรงนี้แหละ พอเปิดมาเละเลยค่ะ ช่วงสองอาทิตย์ที่เปิดคนก็ต้องออกมา Shopping สองอาทิตย์เท่านั้นแหละประกาศว่าจะปรับลอนดอนจาก Tier2 (ทุกอย่างเกือบปกติ) เป็น Tier 3 ความเห็นส่วนตัวเค้าน่าจะปิดยาวไปถึง 21 ธันวาคมแล้วค่อยเปิดหนึ่งอาทิตย์นั้นให้คนกลับบ้าน
Post Lockdown (หลังจาก Lockdown 2)
Tier System (Lockdown 3)
Tier 3 คือร้านอาหารปิดแต่ร้านค้าเปิด การแบ่งประเทศเป็นสี่ Tier ก็น่าจะคล้ายๆที่ไทยตอนนี้ มาตรการในแต่ละเมืองแต่ละจังหวัดจะไม่เหมือนกัน แล้วแต่จำนวนเคส ลอนดอนอยู่ Tier3 ได้ไม่กี่วัน ก็โดนย้ายไป Tier4 = lockdown เลยค่ะ
คราวนี้รัฐฉลาดขึ้น ไม่บอกก่อน ประกาศเสาร์ที่ 19 ธันวาคมตอน 5 โมงเย็น คืนนั้นเที่ยงคืนปิดเมือง ถามว่า shock ไหม นั่งมองหน้างงกันไปหมดเลยจ้า ใครที่อยาก Shopping ก็วิ่งไปห้างอย่างด่วนที่สุด ใครอยากกินอะไรก็ต้องออกไปกินคืนนั้น เพราะการกลายพันธุ์ของเชื้อทำให้วันนึงมีคนติดเกือบ 40,000 คน แล้วในลอนดอนติดเยอะมากๆ เมืองหลวงเลยโดนปิดก่อน หลังจากคริสต์มาสอีกหลายเมืองก็ค่อยโดนปิดตาม
เราชอบนะที่ปิด เพราะรู้สึกปลอดภัยกว่า แต่มันก็เศร้านะ คริสต์มาสไปไหนไม่ได้ ต้น Christmas สั่งมาส่งที่บ้านเอา วันคริสต์มาสรัฐบาลอนุญาตให้คนในลอนดอนไปเจอเพื่อนได้หนึ่งวัน
ส่วนปีใหม่นี้ก็อยู่บ้านคนเดียวไปจ้า นี่เขียนทั้งหมดนี่วันที่ลง post เนี่ยแหละ 30 ธันวาแล้วยังไม่เห็นอนาคตเลยว่าเมืองจะเปิดเมื่อไหร่
ยังไงก็ขอให้ทุกคนที่ไทยโชคดีและปลอดภัยนะคะ Happy Holidays ค่ะ
ฝากติดตามด้วยนะคะ
เดือนหน้าไปต่อกันที่ Central America กันค่ะ จะพาไป 2 ประเทศ Panama และ Costa Rica
เรา post เรื่องราวการเดินทางบน Facebook (facebook.com/traveldouble) ทุกอาทิตย์นะคะ รูปจะเยอะๆหน่อย ส่วน Pantip เดือนละครั้งค่ะ
ใครชอบดู vlog เราก็มี youtube channel ด้วยนะ
Other posts on Blue Planet
นอนบนหลังคารถ Namibia: https://traveldoubleco.wordpress.com/2017/08/02/roadtrip-รอบนามิเบีย-นอน-rooftop-tent/
ขับรถเที่ยว Iceland: https://traveldoubleco.wordpress.com/product/ขับรถเที่ยว-iceland-ใน-7-วัน-itinerary-thai-ver/
ลุยเดี่ยว Cuba: https://traveldoubleco.wordpress.com/2018/05/04/solo-travel-in-cuba-แม่-ญ-คนเดียวก็ย้อนเว/
ห้องอาหารใต้น้ำMaldives: https://traveldoubleco.wordpress.com/2018/02/12/maldives-hurawalhi-resort-5-8-ห้องอาหารใต้น้ำ/
งบน้อย ส่องสัตว์ Kenya: https://traveldoubleco.wordpress.com/2017/11/12/ลุย-kenya-5-วัน-แบบงบสบายกระเป๋/
ดินแดนหมีขาว Svalbard: https://traveldoubleco.wordpress.com/2017/09/20/พาตลุยดินแดนหมีขาว-แห่ง/
Tibet: https://traveldoubleco.wordpress.com/2018/05/11/ตามหาชัมบาลา-shambhala-แต่อยู่ๆ/
Tanzania: https://traveldoubleco.wordpress.com/2019/02/19/zanzibar-serengeti-kilimanjaro/
India: https://traveldoubleco.wordpress.com/2019/03/24/เป็นเจ้าหญิง-rajasthan/
Road Trip Tasmania: https://traveldoubleco.wordpress.com/2019/08/08/หนีร้อน-road-trip-in-tasmania-5-วัน-แนะนำที่พ/
Everest Base Camp: https://traveldoubleco.wordpress.com/2019/08/08/expedition-everest-6-วัน-rapid-ascent-แผ่นดินไหว-ระเบ/
Antarctica: https://traveldoubleco.wordpress.com/2020/03/26/เพื่อนไม่ไป-ก็ไป-expedition-คนเดี/
Galapagos/Diving with Sharks: https://traveldoubleco.wordpress.com/2020/04/16/ไปดำน้ำกับฉลามและสิงโต/
Amazon Rainforest/Colombia: https://traveldoubleco.wordpress.com/2020/05/13/จากเมืองสีๆแห่ง-cartagena-สู่ป่า/
Peru/Machu Picchu: https://traveldoubleco.wordpress.com/2020/05/13/peru-ฉันมาไกลมากนะเธอ-machu-picchu-in-the-rain/
Aruba (Flamingo Beach) & Curacao: https://traveldoubleco.wordpress.com/2020/07/12/เที่ยวแคริบเบียน-หาด-flamingo-ที/
Belize (BLUE HOLE): https://traveldoubleco.wordpress.com/2020/07/25/ไปจุดดำน้ำลึกดังก้องโล/
Iguazu Falls (Argentina+Brazil): https://traveldoubleco.wordpress.com/2020/08/13/ลุยหนึ่งในน้ำตกที่ยิ่ง/
Uruguay/Brazil: https://traveldoubleco.wordpress.com/2020/12/04/ขี้เกียจทำวีซ่า-uruguay-ล่องเร/