เที่ยวไร่กาแฟหนึ่งเดียวในโลกของ Starbucks ที่ Costa Rica + แวะชม Panama Canal
เราใช้ Panama และสนามบิน Panama City เป็น hub ของการเดินทางแถบแคริบเบียนและอเมริกากลาง โดยบินกับสายการบิน Copa Airlines สนามบินใหญ่นะคะ มีเครื่องเข้าออกจากทั้งเมกาเหนือ/ใต้ สะดวกกับการเริ่มต้นสำหรับใครที่บินมาจากไทย เข้ามาได้ทั้งทางฝั่งยุโรปและจากญี่ปุ่น ส่วนเราสองคนบินเข้าจาก Aruba ค่ะ (https://atomic-temporary-132955911.wpcomstaging.com/2020/07/12/เที่ยวแคริบเบียน-หาด-flamingo-ที/) แล้วบินจาก Panama ไป Belize ต่อ (https://atomic-temporary-132955911.wpcomstaging.com/2020/07/25/ไปจุดดำน้ำลึกดังก้องโล/)
ส่วนขากลับ พอออกจาก Belize ก็เข้า Costa Rica ต่อก่อนที่จะไปหมู่เกาะ Galapagos (https://atomic-temporary-132955911.wpcomstaging.com/2020/04/16/ไปดำน้ำกับฉลามและสิงโต/) สองประเทศนี้ทั้ง ปานามา และ คอสตาริกา เลยเป็น layover stop ค่ะ
Panama
เราอยู่ที่นี่กันสี่คืน พักที่โรงแรม Hyatt Place Panama City Downtown (แวะพักซักผ้า) วันแรกที่ไปถึงก็เย็นมากแล้วค่ะ เหนื่อยมากด้วย เลยสั่งอาหาร takeaway มาทานกันที่ห้อง วันรุ่งขึ้นก็เป็นวันพักเบาๆค่ะ เราไปทานอาหารเที่ยงกันที่ food court ในห้าง ทาน hotpot กันค่ะ ขายในศูนย์อาหารหม้อใครหม้อมัน แปลกแต่ก็สะดวกดีนะ แล้วก็ไปเดินเล่นกันที่เมืองเก่า Casco Viejo เมืองนี้เจริญแล้วนะคะ เรารู้สึกปลอดภัยที่จะเดินไปไหนมาไหน ในตัวเมืองเก่าเอง สวยงามค่ะ ส่วนมากตึกเก่าก็จะแปลงเป็นร้านค้า โรงแรม ร้านอาหาร ผับบาร์ มีคาเฟ่น่ารักด้วยนะคะ เราไปถึงเย็นแล้วเลยไม่มีโอกาสเข้าไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ แต่ถ้ามาเร็วก็มีพวกโบสถ์วิหารและวังเก่าให้เข้าไปเที่ยวชมค่ะ
Panama Canal (คลองปานามา)
จุดเด่น highlight ของการมาเมืองนี้ ก็คือ Panama Canal ซึ่งเป็นหนึ่งใน Seven Wonders of the Modern World นั่นเอง เราเรียก Uber ไปที่ Miraflores Visitor Center ตรงนี้เป็นจุดชมเรือวิ่งผ่านช่องแคบระหว่างสองมหาสมุทร Atlantic – Pacific Ocean ค่ะ เรายืนดูจนตัวดำ ร้อนจะเป็นลมกันเลยทีเดียว ดูแล้วก็อึ้งในความสามารถของมนุษย์สามารถสร้างทางเดินเรือระยะ 82km ขึ้นมาได้ เพื่อลดเวลาเดินทางของเรือขนส่งสินค้า และเพิ่มความปลอดภัยด้วยค่ะ ไม่งั้นเรือพวกนี้ต้องลงไปอ้อม Cape Horn ที่ตอนใต้สุดของอเมริกาใต้ ซึ่งมันไกลมาก และคลื่นค่อนข้างแรงใน Drake Passage อีกทางนึง ก็ไม่ได้น่าไปเลย คือการเดินเรือไปทางเหนือ ผ่านขั้วโลก ทาง Arctic Archipelago และ Bering Strait แค่ฟังก็หนาวแล้ว ดีนะที่คนมีความสามารถในทาง engineer ถึงแม้จะใช้เวลาไปกว่า 30 ปีก็ตาม
การที่ได้อยู่ตรงนั้นก็จะได้เห็นการทำงานของ Canal Locks ซึ่งเปิดปิดแล้วปล่อยน้ำให้เรือขึ้นลง Gatun Lake การเดินทางข้าม canal นี้ใช้เวลาทั้งหมด 11 ชั่วโมงกว่าเลยนะคะ แต่เราจะได้เห็นเพียงไม่กี่นาทีที่เท่านั้นและเพราะความสะดวกสบายบวกกับประหยัดเวลาของเส้นทางเดิน เรือนี้ทำให้มีคิวมากมายในแต่ละวัน ค่าใช้จ่าย ก็เสียตังค์เหมือนขึ้นทางด่วนนะคะ ค่า toll ต่อเรือก็จะไม่เท่ากัน คิดตามขนาด ประเภทของเรือ แล้วก็สินค้า/ผู้โดยสาร ที่อยู่บนเรือ แล้วถ้าอยากแซงคิวก็จ่ายเพิ่มได้นะ อย่างเรือที่แซงไป 90 คิว แล้วได้เดินทางเร็วขึ้น 7 วัน เสียค่าแซงคิวไป US$220,300 จากปกติ US$13,430 ส่วนเรือโดยสาร passenger/cruise ship ที่โดนค่าเสียหายไปมากสุดคือเรือ Norwegian Pearl ที่สามารถจุคนได้มากกว่า 3000 คน โดนค่าผ่านทาง ไปทั้งสิ้น US$375,600 เมื่อปี 2010 ที่ Miraflores นอกจากจะดูเรือได้แล้ว ก็ยังมีการให้ข้อมูลต่างๆ อารมณ์ museum เล็กๆ แล้วก็มีร้านน้ำขนมให้นั่งพัก หรือถ้าอยากทานอาหารก็จองก่อนได้
ส่วนพวกเราเบื่ออาหารฝรั่ง เลยทานอาหารเที่ยงวันนั้นที่ร้าน Hikaru ร้านนี้เป็นร้านญี่ปุ่นที่หลบอยู่ในซอกเลยค่ะ รสชาติอาหารใช้ได้ อีกอย่างมีคนญี่ปุ่นทานด้วยค่ะ Panama City มีคนเอเซียอยู่ค่อนข้างเยอะ มีอาหารให้เลือกหลายชาติค่ะ ทั้งจีน ญี่ปุ่น เกาหลี หรือใครชอบ fine dining มีร้าน world’s 50 best restaurant ด้วยนะคะ เราก็มีโอกาสไปมาร้านหนึ่งชื่อว่า Maito อาหารน่าสนใจค่ะ ด้วยความเจริญของประเทศ และเมืองหลวงยังเป็นฐานเศรษฐกิจ เค้ามีร้านไอติม Pinkberry ด้วยนะ อยู่ไม่ไกลจากโรงแรม เดินไปได้จากทางเดินริมทะเล Cinta Costera/Avenida Balboa ทางเดินนี้จะเป็นเหมือนสวนนะคะ เลาะอ่าว Panama Coast ไปเรื่อย ตรง financial district/downtown เราชอบไปเดินกันตอนเย็นๆ ก่อนทานข้าวเย็นค่ะ อากาศดี ลมเย็นๆ แล้วก็เห็นแสงอาทิตย์ตก เป็นการจบวันที่ดีค่ะ
Costa Rica
แวะเที่ยวไร่กาแฟกันดีกว่า ระหว่างทางไป Ecuador เราพักนอนที่นี่กันสองคืนค่ะ มีเวลาเที่ยวหนึ่งวัน ถ้าย้อนกลับไป เราจะสลับจำนวนคืนกับที่ Panama เราว่าที่คอสตาริก้ามีอะไรให้ทำมากกว่าเยอะเลย ถึงแม้ว่าเมืองหลวง San Jose เล็กกว่า แต่ห้อมล้อมไปด้วยภูเขาและมีกิจกรรมให้ทำหลายอย่าง มีภูเขาให้เที่ยวหลายเขาเลยค่ะ Arenal Volcano ก็น่าไปเที่ยวมาก
อีกอย่างอากาศดีมาก เป็นเมืองที่โชคดีสุด อากาศประมาณ 22 องศาตลอดทั้งปี ฤดูของเค้าแบ่งเป็นสองฤดู คือหน้าฝนกับหน้าแล้ง นึกย้อนกลับไปยังเสียดายอยู่เลยที่อยู่ที่นี่น้อยไป แต่เอาเถอะเราก็ยังได้ไปหนึ่งภูเขาไฟและสองไร่กาแฟนะคะ
ตามเคยวันที่เราไปถึงก็ไปถึงตอนเย็นอีกแล้ว คราวนี้เราพักกันที่ Wyndham Hotel Herradura โรงแรมอยู่ไม่ไกลจากสนามบินค่ะ แต่ไม่ได้อยู่ในตัวเมืองนะคะ เราขี้เกียจฝ่าฟันรถติด อีกอย่างที่เที่ยวของเราออกไปทางนอกเมืองอยู่ตรงนี้สะดวกค่ะ ข้างโรงแรมมีร้าน Hard Rock Cafe มื้อเย็นเราเลยไปนั่งกินข้าวฟังเพลงกันที่นั่น วันต่อมาเราจ้างรถตู้พร้อมคนขับไปเที่ยวที่ต่างๆ จุดแรกที่ไปคือภูเขาไฟ Poás Volcano ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ยัง active อยู่ค่ะ ล่าสุดประทุไปเมื่อปี 2019 ก่อนที่เราจะไปไม่นานเอง แต่รอบนั้นยังไม่ต้องอพยพคนไม่เหมือนตอนปี 2017 ที่ต้องอพยพชาวบ้านและนักท่องเที่ยว แล้วก็ปิดอุทยานไปปีกว่า พอเปิดอีกทีเมื่อเดือนกันยา 2018 เขาก็เริ่มใช้ระบบจองออนไลน์ล่วงหน้า ไม่สามารถที่จะอยู่ๆ ขับรถไปจอดแล้วเดินขึ้นไปชมได้เลย เราว่าก็ปลอดภัยดีนะ รู้ว่าใครเข้าออก กี่โมง มีเจ้าหน้าที่ดูแล แล้วก็กำหนดเวลาที่อยู่ข้างบนได้ว่ากี่นาที เพราะข้างบน อย่างที่เห็นในรูปเค้ามีหมวกให้ใส่ ถ้าเกิดภูเขาไฟระเบิดขึ้นมาจริงๆ หมวกใบแค่นั้นจะช่วยอะไรได้ไหม 555+
เราจองตั๋วรอบ 11.40am ดันโชคร้ายกับอากาศมากที่จริงเดือนนี้ฝนจะต้องไม่ตกนะ แต่พอถึงบนเขาฝนตกเลยจ้า ซึ่งมันก็เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของภูเขาไฟและ ecosystem ในบริเวณรอบ ส่วนมากจะมีเมฆปกคลุม ถ้าโชคดีฟ้าก็จะเปิด ให้เห็น crater lake ตอนเราไป
มีแต่ crater lake อันเดียวที่เปิด Lake Botos ที่เป็นอีกหนึ่งใน crater lake ไม่เปิดให้เที่ยวนะคะ Lake Botos เป็น inactive crater ไม่ปะทุแล้ว เหลือแต่อีกอัน Laguna Caliente (hot lagoon) ที่เค้าให้เราดูนี่แหละที่ยังระอุขึ้นมาเรื่อยๆ น้ำในทะเลสาบเป็นน้ำกรด (acidic lake) นะคะ ทำใหฝนที่ตกแถวนั้นเป็นฝนกรด (acid rain) แล้วก็มีหมอกที่เป็นกรด (acid fog) ด้วยค่ะ ทำให้นักท่องเที่ยวไม่สามารถอยู่ตรงนั้นได้นาน เพราะมันจะระคายเคืองตาและปอด เจ้าหน้าที่เค้าจะนั่งอยู่บนรถ เราก็ต้องดูเวลากันเอาเอง พอถึงเวลา ครบ 20 นาที
ก็เดินลง คราวนี้มาเสียเที่ยวค่ะ ไม่เห็นน้ำสีฟ้าเลย
ไปต่อกันที่ ไร่กาแฟดีกว่า แต่ก่อนจะไปถึงระหว่างขับลงเขา เราแวะซื้อสตอเบอรี่ที่โตบนดินภูเขาไฟกันก่อน แวะซื้อสองร้าน ร้านแรกคนขับรถพาไปลูกเล็ก ขับมาอีกหน่อยเราเลยซื้ออีกเจ้าด้วย คนขับบอกลูกใหญ่ที่เราซื้อไม่รู้ว่า organic หรือเปล่านะ แต่ร้านที่เค้าพาไปไม่ใส่สารเคมี เอาเถอะก็ชอบลูกใหญ่เนอะ พอกินไปได้สองสามลูก ก็ถึงไร่กาแฟ Doka จุดนี้เราไม่ได้ไป coffee tour แค่แวะร้านกาแฟเค้า ซื้อเม็ดกลับบ้าน เราลองซื้อเม็ด peaberry beans มา ในกาแฟแบบนี้เป็นเม็ดที่เกิดจากการ mutate ซึ่งเกิดขึ้นแค่ประมาณ 5% ทำให้ beans ที่ปกติมาเป็นคู่ ปลูกมาเป็นเม็ด solo พอซื้อเสร็จแล้วคนขับก็พาลงไปเดินในไร่นิดหน่อย ได้เจอชาวบ้านที่มาเก็บกาแฟ ถึงแม้ว่า Doka Coffee Plantation จะเป็น estate ที่ใหญ่ที่สุด ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ (ขายกาแฟให้ Starbucks) แต่ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกแตกต่างจากไร่กาแฟประเทศอื่นมากนัก เราเลยเลือกที่จะไป coffee tour ของไร่ Starbucks
ไร่ Hacienda Alsacia เป็นไร่กาแฟหนึ่งเดียวของ Starbucks ที่เค้าซื้อมาเมื่อปี 2013 ไร่กาแฟนี้เป็นไร่เล็กๆ (240-hectare) ไม่ได้ส่งกาแฟเข้าร้านทั่วโลกค่ะ เน้นเป็นศูนย์วิจัย และผลิต Arabica ขายที่ร้านสตาร์บัคส์ตรงที่ farm นั้นเลยค่ะ เป้าหมายของไร่นี้คือการพัฒนา เมล็ดพันธุ์กาแฟให้ทนต่อ disease และมีคุณภาพมากขึ้น นอกจากนั้นยังหาวิธีลดต้นทุนในการปลูก เพื่อช่วยผู้ประกอบการรายเล็กให้มีรายได้มากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้เค้าเริ่มจากการพัฒนาฟาร์มที่เค้าซื้อมาก่อน ทำให้มันเป็น sustainable farming model การที่ Starbucks มุ่งมั่นในการพัฒนา ทำให้ ไร่กาแฟแห่งนี้ เป็นไร่ที่น่าเที่ยวที่สุดเลยค่ะ ตั้งแต่ไปเที่ยวมา ไม่มีที่ไหน modern เท่านี้อีกแล้ว สำหรับคนที่ไม่มีเวลาแค่แวะนั่งร้านกาแฟก็ได้นะคะ เป็น Starbucks Cafe ที่อยู่บนเนินเขา มองเห็นไร่กาแฟ มีกาแฟที่เค้าปลูกเสิร์ฟด้วยและสามารถซื้อกลับบ้านได้ ราคาจะสูงกว่ากาแฟตัวอื่น แต่อร่อยจริงๆค่ะ ที่ซื้อกาแฟมาทั้งหมด จากอเมริกาใต้ไม่มีไร่ไหนสู้ Hacienda Alsacia ได้เลย (เห็นพนักงานบอกว่านอกจากที่ไร่ก็มีส่งไปขายที่ Original store ที่เมือง Seattle บ้าง)
เราไปทัวร์ ไร่กาแฟแฟรอบบ่ายสอง ค่าตั๋วคนละ $25 เป็นราคานักเรียนค่ะ ในทัวร์เราได้ปลูกต้นกาแฟ เก็บเมล็ดกาแฟ (cherry picking) แล้วก็ลองชิมเม็ดเชอร์รี่ แปลกใจมากว่ามันหวานเหมือนผลไม้ รสชาติไม่เห็นเหมือนกาแฟเลย นอกจากกว่านั้นก็ยังมีการสาธิตขั้นตอนต่างๆและอธิบายความเป็นมาและสิ่งที่ไร่กำลังทำอยู่ เค้าไม่ให้เราเดินเข้าไปข้างในลึกนะคะ จะอยู่แค่บริเวณข้างหน้า และมีเจ้าหน้าที่ดูแลตลอดเวลา ทัวร์ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงและไปจบที่ห้องชิมกาแฟ เค้าก็เอากาแฟตัวต่างๆมาให้ชิม แล้วก็ให้ดูวิธีชงแบบต่างๆ เราชอบบรรยากาศที่นี่มากจริงๆ ถ้ามีเวลาคงมานั่งจิบกาแฟอ่านหนังสือกินขนมที่นี่ตอนบ่ายอีกหลายหลายรอบ แต่น่าเสียดายเราจะต้องบินไป Ecuador กันต่อค่ะ
หวังว่าพอจบ COVID แล้วจะมีโอกาสไปเที่ยว Costa Rica อีกนะ นอกจากกาแฟอร่อยแล้ว ใครชอบทะเล เค้าก็มีเมืองติดทะเลหลายเมืองเลยนะคะ
ฝากติดตามด้วยนะคะ
อยากให้เรามาเขียนเล่าเรื่องอะไร comment มาได้นะคะ
เดือนหน้าว่าจะพาไปขับรถเที่ยวยุโรปกันบ้าง ต้องค่อยติดตามดูนะคะว่าจะพาไปประเทศไหน เรา post เรื่องราวการเดินทางบน Facebook (https://www.facebook.com/traveldouble) ทุกอาทิตย์นะคะ รูปจะเยอะๆหน่อย ส่วน Pantip เดือนละครั้งค่ะ
ใครชอบดู vlog เราก็มี youtube channel ด้วยนะ
(https://www.youtube.com/c/TravelDouble)
Other posts on Blue Planet
นอนบนหลังคารถ Namibia: https://atomic-temporary-132955911.wpcomstaging.com/2017/08/02/roadtrip-รอบนามิเบีย-นอน-rooftop-tent/
ขับรถเที่ยว Iceland: https://atomic-temporary-132955911.wpcomstaging.com/product/ขับรถเที่ยว-iceland-ใน-7-วัน-itinerary-thai-ver/
ลุยเดี่ยว Cuba: https://atomic-temporary-132955911.wpcomstaging.com/2018/05/04/solo-travel-in-cuba-แม่-ญ-คนเดียวก็ย้อนเว/
ห้องอาหารใต้น้ำMaldives: https://atomic-temporary-132955911.wpcomstaging.com/2018/02/12/maldives-hurawalhi-resort-5-8-ห้องอาหารใต้น้ำ/
งบน้อย ส่องสัตว์ Kenya: https://atomic-temporary-132955911.wpcomstaging.com/2017/11/12/ลุย-kenya-5-วัน-แบบงบสบายกระเป๋/
ดินแดนหมีขาว Svalbard: https://atomic-temporary-132955911.wpcomstaging.com/2017/09/20/พาตลุยดินแดนหมีขาว-แห่ง/
Tibet: https://atomic-temporary-132955911.wpcomstaging.com/2018/05/11/ตามหาชัมบาลา-shambhala-แต่อยู่ๆ/
Tanzania: https://traveldoubleco.wordpress.com/2019/02/19/zanzibar-serengeti-kilimanjaro/
India: https://atomic-temporary-132955911.wpcomstaging.com/2019/03/24/เป็นเจ้าหญิง-rajasthan/
Road Trip Tasmania: https://atomic-temporary-132955911.wpcomstaging.com/2019/08/08/หนีร้อน-road-trip-in-tasmania-5-วัน-แนะนำที่พ/
Everest Base Camp: https://atomic-temporary-132955911.wpcomstaging.com/2019/08/08/expedition-everest-6-วัน-rapid-ascent-แผ่นดินไหว-ระเบ/
Antarctica: https://atomic-temporary-132955911.wpcomstaging.com/2020/03/26/เพื่อนไม่ไป-ก็ไป-expedition-คนเดี/
Galapagos/Diving with Sharks: https://atomic-temporary-132955911.wpcomstaging.com/2020/04/16/ไปดำน้ำกับฉลามและสิงโต/
Amazon Rainforest/Colombia: https://atomic-temporary-132955911.wpcomstaging.com/2020/05/13/จากเมืองสีๆแห่ง-cartagena-สู่ป่า/
Peru/Machu Picchu: https://atomic-temporary-132955911.wpcomstaging.com/2020/05/13/peru-ฉันมาไกลมากนะเธอ-machu-picchu-in-the-rain/
Aruba (Flamingo Beach) & Curacao: https://atomic-temporary-132955911.wpcomstaging.com/2020/07/12/เที่ยวแคริบเบียน-หาด-flamingo-ที/
Belize (BLUE HOLE): https://atomic-temporary-132955911.wpcomstaging.com/2020/07/25/ไปจุดดำน้ำลึกดังก้องโล/
Iguazu Falls (Argentina+Brazil): https://atomic-temporary-132955911.wpcomstaging.com/2020/08/13/ลุยหนึ่งในน้ำตกที่ยิ่ง/
Uruguay/Brazil: https://atomic-temporary-132955911.wpcomstaging.com/2020/12/04/ขี้เกียจทำวีซ่า-uruguay-ล่องเร/
ติดอยู่London คนเดียวเกือบ 1 ปี: https://atomic-temporary-132955911.wpcomstaging.com/2020/12/30/จากนักเดินทางกว่า100ประเ/
VLOG: